วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สัตว์โลกน่ารัก


จากภาพยนต์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค ของสตีเว่น สปิลเบิร์ก ที่นำเข้ามาฉายในประเทศไทย เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ ทำให้คนไทยเกิดการคลั่งไคล้ไดโนเสาร์หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคไดโนเสาร์ฟีเวอร์ เพราะนอกจากจะมีการกล่าวขานถึงทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แล้ว ยังมีการสร้าง หุ่นจำลอง จัดนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ ตลอดจนภาพวาดและของเล่น ล้วนเกี่ยวข้องกับ ไดโนเสาร์แทบทั้งสิ้น ล่าสุดห้างเซ็นทรัล รามอินทราและสวนสยามยังคงจัดแสดงหุ่น ไดโนเสาร์ ให้ผู้ชมเข้าและศึกษาหาความรู้
บางท่านอาจจะสงสัยว่า ไดโนเสาร์ คืออะไร ในสมัยดึกดำบรรพ์มีจริงหรือไม่ สูญพันธุ์ ไปหมดแล้วจริงหรือ เราศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ได้อย่างไรและอีกหลากหลาย คำถามที่ต้องการค้นหาคำตอบ
คำว่าไดโนเสาร์ ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2384 โดยนาย ริชาร์ด โอเวนนักกายวิภาค วิทยา ชาวอังกฤษ ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ขุดพบในรูปของซากดึกดำบรรพ์ เป็น โครงกระดูกขนาดใหญ่ โดยนายริชาร์ด ใช้คำว่า ไดโนเสาร์เพราะมาจากภาษาอังกฤษว่า dinosaurs เป็นคำผสมจากภาษากรีก ว่า deinos ซึ่งแปลว่า น่าเกลียดน่ากลัว กับคำว่า sauros แปลว่า กิ้งก่า ดังนั้น ไดโนเสาร์ จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า กิ้งก่าที่น่าเกลียด น่ากลัว ซึ่งอาจจะน่ากลัวในสายตาของนายริชาร์ด และอาจจะไม่น่ากลัวเลยในสายตาของนักวิทยาศาสตร์บางคน
ความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์นั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากซากดึกดำบรรพ์ที่เรียกตามศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า ฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลโครงกระดูก รอยเท้า เปลือกไข่ อุจจาระ ตลอดจนกลายสภาพเป็นหินแข็งอยู่ภายใต้ผิวโลก ครั้นเวลาผ่านไปเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฏบนพื้นผิวโลกให้เห็นตามที่ต่าง ๆ เป็นหลักฐานศึกษาการวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้วมนุษย์เคยค้นพบกระดูก และรอยเท้าไดโนเสาร์มาเป็นเวลานานแล้ว เพียง แต่ว่าผู้คนยุคต้น ๆ นั้น คิดว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ของกิ้งก่า มังกรหรือแม้กระทั่งนกกาเหว่า ยักษ์ จนกระทั่ง นายริชาร์ด ได้ให้ความเห็นว่า โครงกระดูกของสัตว์เหล่านั้น เป็นของสัตว์ กลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับพวกกิ้งก่า
แต่ไม่จัดเป็นพวกกิ้งก่า ซึ่งถ้าดูจากโครงสร้างของโครงกระดูกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พอจะแยกออกได้เป็น 7 ลักษณะ
นักโบราณคดีและนักชีววิทยา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่า ถ้าแบ่งช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในโลก จะแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง คือ
1. ช่วงไตรแอสสิก (Triaassic) เป็นช่วงแรกของการเกิดไดโนเสาร์ คือประมาณ 250- 205 ล้านปีมาแล้ว ได้แก่

2. ช่วงจูราสสิก (Jurassic) เป็นช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ205-135 ล้านปีมา แล้ว ในช่วงนี้มีไดโนเสาร์หลากหลายชนิด ทั้งมีเขาไม่มีเขา มีเกราะ ไม่มีเกราะ คอยาว คอสั้น ตลอดจนวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์ปีก ได้แก่
3. ช่วงครีเตเชียส (Cretaceous)เป็นช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ135-66 ล้านปีมาแล้วเป็นช่วงสุดท้ายของไดโนเสาร์ซึ่งจะมีวิวัฒนาการสูงสุดและสูญพันธุ์ไปในที่สุด ได้แก่

1. Herreraasaurus
2. Staurikosaurus
3. Coelophysis
4. plateosaurus
5. protoavis ฯลฯ

ไดโนเสาร์ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งถูกขุดพบที่ประเทศอาร์เจนตินา โดยนาย พอล เซเรโน นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย ชิคาโก ขุดพบในปี พ.ศ. 2534 และให้ชื่อสัตว์ที่ขุดพบว่า อีโอแรพเตอร์
ชนิดใหม่ล่าสุดที่ขุดพบเมื่อเดือน เมษายน ปี 2536 มีชื่อว่า โมโนไนคัส (Mononycus) ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าคล้าย กับซากดึกดำบรรพ์ของนกโบราณชนิดหนึ่งที่ขุดพบ เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งประมาณอายุได้ 150 ล้านปี นกโบราณชนิดนี้ คือ อาร์คีออฟเทอริกซ์ (Archaeopteryx)
ดังนั้น สายวิวัฒนาการของนกกับไดโนเสาร์จะต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่อะไรจะ เป็นต้นตระกูลของอะไรจะต้องหาหลักฐานกันต่อไป แต่ที่แน่นอนที่สุดไดโนเสาร์ไม่ได้ สูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดสิ้น นักโบราณคดีและนักชีววิทยาหลายท่านเชื่อว่ายังมีไดโนเสาร์ สายพันธุ์หนึ่งที่ยังคงสืบเชื้อสายอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้และมีอยู่เป็นจำนวนมากมายต่างพากันเรียก ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ชนิดนี้ว่า นก แต่ต้นตระกูลนกจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นนกชนิด ใดก่อนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป
แจ็ก ฮอร์เนอร์ ซึ่งเป็นนักโบราณคดีและนักชีววิทยา รวมถึงนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้อย่างน่าฟัง ถึงเหตุผลที่ทำให้ไดโนเสาร์สามารถอยู่รอดได้ถึง 150 ล้านปี
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไดโนเสาร์ที่มีลักษณะใหญ่โตเหล่านั้น ก็สูญพันธุ์ไปสิ้นเมื่อ 65 ล้าน ปีที่แล้ว มีหลากหลายทฤษฏีที่ชี้แจงการสิ้นสุดของไดโนเสาร์ ทั้งทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ตลอดจนทฤษฎีดาวหางและอุกกาบาต แต่ดูเหมือนทฤษฎีหลังจะเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วไป
แต่การสูญสิ้นของไดโนเสาร์นั้นยังไม่เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์มากนักเพราะต่าง พากันมุ่งประเด็นไปที่การดำรงชีวิตของไดโนเสาร์ตรงที่ว่า ไดโนเสาร์มีอะไรดีจึงสามารถดำรง เผ่าพันธุ์ได้นานถึง 150 ล้านปี ยังเป็นปริศนาสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องหาข้อมูล จากซากดึกดำบรรพ์กันต่อไป
คราวนี้เรามารู้จักกับไดโนเสาร์พันธุ์ต่าง ๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ตัวแรกที่จะแนะนำให้รู้จักก็คือ
ไทแรนโนซอรัส (Tyrannosaurus rex)
อัลโลซอรัส (Allosaurus)
อะแพททอซอรัส (Aapatosarus)
ไทรเซอราทอปส์ (tricratops)
อิกัวโนดอน (Iguanodon)
เทอราโนดอน (pteranodon)
แม้เวลาจะผ่านไปถึง 65 ล้านปี คำว่า ไดโนเสาร์ ก็ยังถูกกล่าวถึงเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะ เป็นสัตว์ที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็ยังไม่ร้ายเท่ามนุษย์ที่คอย แต่คิดค้นและสร้างสมแต่สิ่งที่นำ ไปสู่การทำลายตัวเองอยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดที่โลกเต็มไปด้วยมลพิษที่เกินกว่ามนุษย์จะ ทนได้ ก็อาจสูญพันธุ์ไปในที่สุด... ดังเช่น... ไดโนเสาร...์ สัตว์โลกล้านปี...ที่ถูกบันทึกไว้ใน ความทรงจำของมนุษย์ตราบจนทุก...วันนี้

คิดดีทำดี


คิดดี ทำดี พูดดี สามคำนี้คงเหมาะกับเรื่องที่เราจะเล่าให้ฟังต่อไปนะจะว่าไปตั้งแต่เด็กจนโต เราก็ไม่ใช่เด็กดี เรียบร้อยอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อเสมอมาและยังเชื่ออยู่จนถึงทุกวันนี้ก็คือการรวบรวมสามคำนี้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันอาจจะเพราะเราคุ้นเคยและอยู่กับคนที่คิดแบบนี้มาตั้งแต่เราเป็นเด็ก ตอนเป็นเด็กสิ่งนึงที่ถือว่าเป็นกฏในบ้านเลยนะ คือเรื่องการพูดคำหยาบอย่าเพิ่งคิดเลยเถิดนะ การไม่พูดคำหยาบนั้นไม่ใช่ว่าเรากระแดะพูดไม่ได้อาจจะมีบางคร้งที่พูดไปด้วยความคะนองปาก แต่ไม่ใช่ว่ามาเป็นคำคุ้นเคยในชีวิตประจำวันนะ เมื่อก่อน ป๊า ม๊าจะห้ามเลยนะเรื่องนี้ มันเหมือนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนนั้นมีอยู่ครั้งนึงตอนเด็กๆเลย เราทะเลาะกับน้องชาย ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของน้องเราหมดแต่ด้วยความโมโหเราด่าน้องเราด้วยความโมโห "เ-ี้ย" แค่คำนี้คำเดียวสถานการณ์พลิกผัน เรากับน้องโดนตีทั้งคู่ เพราะม๊าบอกว่าผิดทั้งคู่น้องเราผิดที่หาเรื่อง ส่วนเราผิดที่ด่าน้องคำหยาบตอนนั้นเราไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมเนี่ย ทำไมเราต้องโดนตี แต่มันก็เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้เราพูดคำหยาบอีกจนถึงตอนนี้เราไม่เคยด่าใครแบบนั้น (อาจมีแต่น้อยจนจำไม่ได้ ฮ่าฮ่า พูดเผื่อไว้เผื่อมีใครเคยโดนเราด่าแล้วจำได้ อิอิ)ม๊าจะสอนเราว่า อย่าไปด่าใครแบบนั้นเพราะถ้าเราไม่อยากให้ใครว่าเราแบบนั้น เราก็ไม่ควรไปว่าคนอื่นแบบนั้นเหมือนกันเรื่องที่หนึ่งที่เรารู้สึกว่า ถ้าเราอยากให้ใครพูดดีด้วย เราก็ต้องพูดดีกับเค้าก่อนตอนนี้เราทำงานที่ต้องอาศัยการพูดคุย ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดดี จริงใจ พูดทุกอย่างจากใจเรา เราจะได้สิ่งนั้นกลับมาเสมอ ---------------------------------------------------------------------------ตอนที่อาม่าเรายังอยู่ อาม่าเราเดินไม่ได้มานานมากๆ ภาพอาม่าที่เดินได้เหมือนเลือนลางเต็มทีอาม่าจะใจดีเสมอ ม๊าจะพาพวกเราไปเยี่ยมอาม่าทุกอาทิตย์เหมือนเป็นกิจวัตรเลยก็ว่าได้สิ่งนึงที่เราจำได้มาตั้งแต่เด็ก คือไม่ว่าจะเป็นใครไปเยี่ยม จะเป็นลูกหลาน หรือคนรู้จักพอเค้าจะลากลับ อาม่าต้องพูดคำๆนึงกับเราเสมอ คือ โชคดี โชคดี จวบจนกระทั่งตอนนี้ อาม่าไม่อยู่แล้วแต่ทุกๆเช้าเราก็ยังได้ยินคำนี้จากปากคนที่รักเราเสมอม๊า โบไปทำงานแล้วนะ คำว่าโชคดีก็จะตามมาเสมอ เรารู้สึกคุ้นเคยกับคำนี้มานาน ม๊าเล่าว่า อาม่าบอกว่าอวยพรลูกหลานให้โชคดีพูดแต่สิ่งดีๆ ลูกหลานก็จะพบเจอแต่สิ่งดีๆกลับมาเหมือนกัน เราว่ามันก็จริิงอย่างที่อาม่าว่านะ อย่างที่มาม๊าทำ และคำว่าโชคดีเหมือนกัน ก็ตอบกลับไปจากปากเราทุกๆเช้า เหมือนเป็นคำอวยพรในแต่ละวัน ให้เราพร้อมไปเผชิญโลกภายนอกเราว่าการพูดดี ปรารถนาดี คิดดี ไม่คิดร้ายกับใครสิ่งดีๆก็จะตามมาเสมอ---------------------------------------------------------------------------เมื่อก่อนป๊าจะทำธุรกิจเล็กๆเอง อยู่ตึกเก่าๆไม่ได้ใหญ่โตอะไรทุกๆวันตอนกลางวันเวลาป๊าเดินลงมากินข้าวจะมีคนแก่คนนึงมานั่งอยู่หน้าที่ทำงานป๊าเคยให้เงินเค้า 20 บาทไปกินข้าว แล้วคนแก่คนนั้นก็จะมานั่งรอป๊าทุกๆกลางวัน ป๊าก็ให้เงินเค้าไปกินข้าวทุกวัน ป๊าบอกว่าป๊าไม่ได้รวยอะไร จะให้ใครก็ให้เท่าที่เรามี ถ้าลำบากก็ไม่ต้องให้ เอาเท่าที่กำลังเราจะให้ได้ ทำดี เท่าที่จะทำได้เนอะ แล้วมันจะปลาบปลื้มที่ได้ทำนะ ลองดูสิ---------------------------------------------------------------------------จริงๆที่เขียนเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่รู้สึกว่าทุกวันนี้สังคมมันเปลี่ยนไปบทสนทนาบางครั้งต้องผสมปนเปไปด้วยคำหยาบหรือสิ่งแปลกปลอมจนบางครั้งรู้สึกว่ามากเกินไปรึป่าว บางคนพูดคำสลับคำหยาบคำ หรือต้องลงท้ายด้วยคำหยาบตลอดเวลาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันทำให้เค้าดูเท่ห์ขึ้นรึป่าวก็ไม่รู้ เราไม่ได้อยากจะอวดอ้างว่าเป็นผู้รากมากดีมาจากไหน เพราะจริงๆก็เป็นคนธรรมดาพื้นๆในสังคมอาม่า อากงมาจากเมืองจีน ปาป๊า มาม๊าก็เป็นคนจีนที่เกิดที่นี่ ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี ป๊าทำธุรกิจเอง และม๊าเป็นแม่บ้านธรรมดาๆคนนึง แต่เค้าสอนอะไรให้เราเยอะ หลายครั้งที่เรารู้สึกว่าเราเป็นแบบนี้เพราะป๊า ม๊าสอนจริงๆนะสิ่งที่เค้าสอนเราไม่ได้จากโรงเรียน เราไม่ได้จากมหาวิทยาลัย แต่เราได้จากเค้าจริงๆนั่นแหละเค้าเหมือนปลูกฝังให้พวกเราแต่เด็ก คิดดี ไม่คิดร้ายกับคนอื่น เพราะเราคงไม่อยากให้ใครคิดร้ายกับเราเหมือนกันทำดี ทำความดีให้ได้เท่าที่เรามามารถจะทำ แล้วเราจะเข้าใจว่าทำไปแล้วจะปลาบปลื้มในใจลึกๆแค่ไหน อธิบายยากลองไปทำเองดูนะ พูดดี พูดแต่สิ่งที่ดีๆเพราะสิ่งที่เราพูดมันออกจากความรู้สึกของเราเอง และมันจะอยู่กับเราตลอดไป เราต้องรับผิดชอบทุกคำที่เราพูดออกไป ขอบคุณสิ่งดีๆที่ป๊า ม๊า สอนให้โบเป็นคนแบบที่เป็นอยู่ พวกเราพี่น้องเคยคุยกันว่าเพราะป๊า ม๊าเป็นแบบนี้เราเลยเป็นแบบนี้ด้วย เพราะทัศนคติในการดำเนินชีวิตมันคงอ่านเอาจากตำราไม่ได้ แต่เพราะทุกๆวันที่เราอยู่ดู้่้วยกันทำให้มุมมองมันไปในทางบวกเสมอ ขอบคุณสิ่งดีๆที่มีให้เสมอมา ขอบคุณทุกๆอย่างจริงๆ จบแล้วหละนะ คิดดี ทำดี พูดดี ไม่เห็นจะยากเลย อยากให้ใครทำอะไรให้เราแบบไหน เราก็ทำให้เค้าแบบนั้นเหมือนกัน แล้วเราจะได้สิ่งนั้นกลับมาเสมอ ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่เป็นไรสักวันเค้าก็จะเห็นเองแล้วก็จะอายที่ทำำไม่ดีกับเรา เราทำไปเรื่อยๆเถอะ มันจะดีกับตัวเราเอง ฮ่าฮ่า อันหลังนี้ม๊าบอกมา ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ ปรารถนาดีต่อกัน แล้วโลกเราก็จะมีแต่ความสุข คิดถึงคนอื่นอย่าคิดถึงแต่ตัวเองนะจ๊ะ สาธุ :D

1. รักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง สุขภาพทางจิตที่ดีย่อมอยู่ในกายที่มีสุขภาพดีเช่นกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง กินอาหารที่มีประโยชน์กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ออกกำลังสม่ำเสมอ พอสมควร ไม่หักโหมเกินไปนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง2. มีความสุขกับการทำงาน เลือกทำงานที่ชอบหรือ สร้างความพึงพอใจในงานที่ทำ หาวิธีการทำงานให้มีความสุข พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายหลายอย่างภายในขอบเขตที่สังคมยอมรับ ตามความสามารถของตนเอง 3. รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง สำรวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ยอมรับว่าเรามีทั้ง ส่วนดีและส่วนเสีย พยายามมองหาส่วนดี เห็นคุณค่า ชื่นชม และพัฒนาส่วนดี นั้นให้ดียิ่งขึ้นพร้อมทั้งยอมรับในข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 4. มีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี มองหาความสุข ความเพลิดเพลิน เพื่อช่วยลดความตึงเครียดต่างๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย การหัวเราะทำให้จิตใจเบิกบาน มีการกระเพื่อมของหน้าท้อง เวลาจะทำอะไรต้องหาจุดดีของเรื่องนั้นให้พบ เมื่อพบแล้วทำความพอใจและชื่นชม ก็จะเกิดแต่ความดีงาม 5. ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว ต้องคิดไว้เสมอว่าเหนื่อยก็พัก หนักก็วาง วุ่นก็ให้ว่าง ทุกอย่างก็สบาย6. ควรมีงานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ หาอะไรที่ชอบและพอใจทำ ทำในเวลาว่างที่เหลือจากกิจวัตรประจำวัน การทำอะไรในสิ่งที่พึงพอใจย่อมเกิดความสุขเพลิดเพลิน ทำให้ไม่มีเวลาว่าง ที่จะคิดกังวลเรื่องต่างๆ เป็นการฝึกการใช้เวลาว่างนั้นๆให้มีสมาธิในการทำสิ่งที่พอใจ ซึ่งจิตมีสมาธิจะเป็นจิตที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวง่าย 7. หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ แต่ละชีวิตย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป เราจึงควรหาเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ ค้นหาคนที่คุณรักและเขารักคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูล ปลอบขวัญ บำรุงจิตใจซึ่งกันและกัน สามารถที่จะระบายทุกข์ ปรึกษาขอความคิดเห็น และแก้ไขปัญหาต่างๆ ]8. พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและความกังวลใจ เมื่อพบอุปสรรค พยายามพิจารณาปัญหาอย่างใช้เหตุและผล โดยค้นหาข้อเท็จจริง มองปัญหานั้นๆและหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา ทำการตัดสินใจ แล้วปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจไว้ หรือถ้าปัญหารุมเร้ามากจนต้องการหลีกให้พ้น ก็คิดเพียงว่า"ใช้ชีวิต อยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น" อย่าพึ่งกังวลไปถึงวันอื่นข้างหน้า 9. ใช้เวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด เมื่อพบกับความผิดหวังจงใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยา เมื่อพลาดหวังแล้วจงอดทน และมีความหวังต่อไป ความหวังเป็นพลังหรือแรงจูงใจ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อประสบความผิดหวัง ไม่ควรใช้วิธีถอยหนีหรือเลี่ยงปัญหา ควรคิดเสมอว่า "ท้อแท้-หงอย ท้อถอย-แพ้" 10. ค้นหาเป้าหมายของชีวิต การคิดฝันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความคิดฝันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งความคิดฝันจะทำให้เรามีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีแรงจูงใจ มีการตั้งเป้าหมายในชีวิตใกล้เคียง กับความสามารถที่แท้จริงและสอดคล้อง กับความเชื่อและอุดมคติ แล้วทำการลงมือปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมาย การทำตัวให้มีความสุขได้เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ต้องอาศัยการเรียนรู้ และหาวิธีการ แล้วนำไปดัดแปลง ปรับปรุงให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการของผู้ต้องการแสวงหาความสุขนั่นเอง

วัฒนธรรมท้องถิ่น


วัฒนธรรมท้องถิ่น ในแต่ละท้องถิ่นจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนี้ ๑. วัฒนธรรมทางภาษา คนไทยทุกภาคทุกท้องถิ่นได้สืบทอดวัฒนธรรมทางภาษามาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนใช้ภาษาไทย แต่มีสำเนียงแตกต่างกัน เรียกว่า "ภาษาถิ่น" เช่น ภาษาไทยในท้องถิ่นภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ แต่เราสามารถใช้สื่อสารทำความเข้าใจได้ ๒. วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการกิน ในแต่ละท้องถิ่นมีการปรุงอาหารซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานาน โดยใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกัน และอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกัน ตามรสนิยมของแต่ละภาค ภาคเหนือ เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ไส้อั่ว แกงโฮะ แกงฮังเล ภาคกลาง เช่น ต้มยำกุ้ง น้ำพริก-ปลาทู แกงเขียวหวาน ภาคอีสาน เช่น ส้มตำ ซุปหน่อไม้ ลาบ แกงอ่อม ภาคใต้ เช่น แกงส้ม แกงไตปลา ข้าวยำน้ำบูดู ขนมจีนปักษ์ใต้

น้ำพริกหนุ่ม ต้มยำกุ้ง ส้มตำ ขนมจีนปักษ์ใต้
๓. การละเล่นพื้นเมือง ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาถิ่น และดนตรีพื้นเมือง ภาคเหนือ เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ดนตรีพื้นเมือง เช่น สะล้อ พิณ ซึง ภาคกลาง เช่น เพลงเรือง ลำตัด ลิเก เต้นกำรำเคียว ภาคอีสาน เช่น หมอลำ เซิ้ง เครื่องดนตรีที่สำคัญ คือ แคน ภาคใต้ เช่น รำมโนราห์ หนังตะลุง รองเง็ง เพลงบอก


ฟ้อนเล็บ ลิเก เซิ้ง รำมโนราห์
๔. ประเพณีพื้นเมือง ภาคเหนือ เช่น ประเพณีสืบชะตา เป็นพิธีต่ออายุให้แก่ตนเอง ญาติพี่น้อง และบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล ประเพณีปอยน้อย เป็นพิธีบรรพชาที่จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่มีการแห่ลูกแก้หรือผู้บวช ซึ่งจะแต่งตัวสวยงามแบบกษัตริย์หรือเจ้าชาย เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชจนตรัสรู้ การแห่นิยมให้ลูกแก้วขี่ม้า ขี่ช้าง หรือขี่คอคน มีการร้องรำกันอย่างสนุกสนาน ภาคกลาง เช่น ประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง เป็นการถวายเภสัชหรือยาแด่พระสงฆ์ ในครั้งพุทธกาลเมื่อพระสงฆ์เกิดอาพาธ พระพุทธเจ้าทรงมี พุทธานุญาตให้พระสงฆ์ฉันน้ำผึ้งได้ เพราะถือว่าเป็นยา จึงมีการถวายน้ำผึ้สืบต่อกันมาจนปัจจุบัน ประเพณีโยนบัว เป็นพิธีนมัสการหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน ชาวบ้านที่อยู่ริมฝั่งคลองสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ จะนำดอกบัวโยนถวายหลวงพ่อโต ภาคอีสาน เช่น ประเพณีค้ำโพธิ์ ค้ำไฮ เมื่อผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพในครอบครัวเจ็บป่วยจึงต้องทำพิธีต่ออายให้ยืนยาว ประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีแห่นางแมว เพื่อขอให้ฝนตกตามฤดูกาล ภาคใต้ เช่น ประเพณีชักพระ เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและชีวิตที่ผูกพันกับน้ำ โดยชาวบ้าน จะพร้อมใจกันอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบก แล้วลากหรือชักแห่ไปตามถนน หรือตามแม่น้ำลำคลอง ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นงานประเพณีที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว