วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


ภูมิปัญญากีฬาไทย กีฬาไทยจัดเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ มีความงดงามและทรงคุณค่า ซึ่งบรรพบุรุษได้ค้นคิด สืบสาน ถ่ายทอดและพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ การเล่นกีฬานอกนจากจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแรงและห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว กีฬาหลายประเภทยังช่วยให้ผู้เล่นได้ฝึกฝนสมาธิ มีความคิดสร้างสรรค์ มีไหวพริบปฎิภาน รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สามารถหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้ กีฬาบางชนิดใช้ผู้เล่นเป็นหมู่คณะ ทำให้ผู้เล่นรู้จักมีความรักความสามัคคี ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตลอดจนเป็นคนมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย กีฬาไทยที่บรรพชนไทยค้นคิด และถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน บางชนิดกลายเป็นตำนานและความทรงจำ และบางชนิดยังคงมีการเล่นกันอยู่ แม้ว่าจะถูกปรับเปลี่ยนไปให้ทันยุคสมัยก็ตาม แต่ด้วยความสำนึกของความเป็นไทย เราควรร่วมกันสนับสนุนและร่วมส่งเสริม ภูมิปัญญากีฬาไทย ให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้จักและร่วมกันอนุรักษ์ต่อไป

สมุนไพรไทย(3) อาหารจานผัดแบบไทย ๆ อาหารผัดสมุนไพรเลิศรส
ผัดกะเพรา ผัดโหระพา ผัดพริกสด ผัดฉ่า ผัดพริกแกง ผัด..ผัด.. ผัด.. อาหารจานผัดรสเผ็ดร้อน ที่ขานชื่อมาให้ฟัง พอเรียกน้ำย่อยในท้อง ให้ออกมาปั่นป่วนกระเพาะของทั้งคนเขียนและคนอ่านนี้ ฟังแบบผ่าน ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเมนูอาหารไทยธรรมดา ๆ แต่วันนี้เราจะมาลองคุยถึงอาหารเหล่านี้ แบบไม่ธรรมดาซะหน่อยค่ะ
ถ้าเราผัดกะเพรา แต่ไม่ได้ใส่ใบกะเพรา แล้วผัดจานนั้น จะเป็นผัดกะเพรามั้ยคะ แน่นอนค่ะ ทานยังไงก็ไม่ใช่ผัดกะเพรา เพราะว่าไม่ได้ใส่ใบกะเพรา (เข้าเรื่องดีกว่า ก่อนที่เพื่อน ๆ จะทนไม่ได้ปิดหน้านี้ไปซะก่อน) นกกำลังจะบอกว่า อาหารไทยนั้นวิเศษล้ำตรงที่ สามารถดึงเอาพืชสมุนไพรมาปรุงแต่งกลิ่นรส ให้อาหารแต่ละจานเกิดความโดดเด่น แตกต่างมีเอกลักษณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ
ความโดดเด่นของอาหารจานผัดสมุนไพร หลักใหญ่เกิดจากการใช้ พืชสมุนไพร ส่วนของใบในการปรุงรสและแต่งกลิ่น (ส่วนใหญ่หนักไปในทางแต่งกลิ่น) โดยจะใช้สมุนไพรใบ ชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นเครื่องปรุงหลัก ผัดผสมกับสมุนไพรพื้นฐานประเภท กระเทียม พริก โดยใช้ไฟแรงและเร็ว จึงจะชูรสและกลิ่นของสมุนไพรให้ยิ่งโดดเด่น
พระเอกในกลุ่มสมุนไพรใบ หนีไม่พ้นสมุนไพรในกลุ่มที่ฝรั่งเรียกว่า เบซิล (Basil) อย่างใบกะเพรา ใบโหระพา (ส่วนใบแมงลักขอละไว้ เพราะไม่นิยมใช้ ในอาหารจานผัด) ส่วนเนื้อสัตว์ก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจ จะเป็นผัดกะเพราหมู ผัดกะเพราไก่ ผัดกะเพรากุ้ง ผัดกะเพราปลาหมึก ผัดกะเพราทะเล หรือจะเป็นหอยลายผัดโหระพา หอยกะพงผัดโหระพา หรือจะข้ามไปผัดกับผัก อย่างมะเขือยาวผัดใบโหระพา (โอย... น้ำลายท่วมปากค่ะ)
ว่ากันถึงเรื่องรสชาติผัดกะเพราจะให้อร่อยต้องออกรสเผ็ดด้วย โดยจะเป็นรสเผ็ดจากพริกขึ้หนูค่ะ แต่ถ้าเราผัดเนื้อสัตว์โดยไม่ใส่ใบกะเพรา แล้วลดความเผ็ดโดยเปลี่ยนจากพริกขี้หนู เป็นพริกชี้ฟ้า หรือภาษาบ้าน ๆ เรียกพริกสด ก็จะได้ผัดพริกสด บางคนใส่พริกหยวกลงผัดผสม อร่อยไปอีกแบบ อีกหนึ่งผัดที่ถ้าไม่พูดถึงคนอาจจะถามหา คือ ผัดฉ่าค่ะ อันว่าชื่อผัดฉ่านั้น ไม่ทราบที่มาเหมือนกัน จะเกิดจากเสียงเวลาผัดดังฉ่า ๆ หรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ ผัดจานนี้เกิดจากการผสมผสานของผัก สมุนไพร หลายหลาย ทั้งพริกสด กระชายฝอย ใบมะกรูด ใบโหระพา บ้างเติมพริกไทยเม็ดสด มะเขือพวง มะเขือเปราะ ผสมผสานรส และกลิ่นที่เผ็ดร้อน หอมหวล แบบแตกต่าง ผัดฉ่านี้ใช้ใบโหระพาที่สามารถกลบกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ประเภทอาหารทะเล ได้เป็นอย่างดี แต่จะเอามาผัดหมู ผัดไก่ ก็ไม่ว่ากัน นอกจากการผัด โดยใช้สมุนไพรประเภทใบแล้ว ในอาหารไทยมีการใช้ น้ำพริกแกงหลากหลาย ซึ่งไม่จำกัดการใช้เพียงเมนูแกง สามารถเอามาใช้นำอาหารประเภทผัด ได้อย่างอร่อยไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นผัดเผ็ด ผัดเขียวหวาน ซึ่งมีเครื่องปรุง เหมือนกันกับการแกง แต่ลดปริมาณการใช้น้ำกะทิลง เหลือเพียงผัดแบบแห้ง ๆ พลิกแพลงมากขึ้นในยุคปัจจุบัน โปะข้าวสวยลงผัดผสม ได้ข้าวผัดน้ำพริกแกง อร่อยง่าย ๆ ไปอีกแบบ
ก็คงพูดกันได้เต็มปากเต็มคำว่า "อาหารจานผัดแบบไทย ๆ อาหารผัดสมุนไพรแท้ ๆ" จ้า....


จังหวัดชลบุรี เรียกกันสั้น ๆ ว่า “เมืองชล” เป็นจังหวัดท่องเที่ยวชายทะเลตะวันออกที่มีชื่อเสียงมาช้านาน เป็นแหล่งเกษตรกรรมปลูกพืชเศรษฐกิจได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา รวมทั้งเป็นที่ตั้งท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และแหล่งอุตสาหกรรมโรงงานที่สำคัญ

เมืองชลบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 80 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 4,363 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ และ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอหนองใหญ่ อำเภอพนัสนิคม อำเภอบ้านบึง อำเภอพานทอง อำเภอบ่อทอง อำเภอศรีราชา อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ อำเภอเกาะสีชัง และกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ สำหรับ พัทยา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติ และมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการบริหารปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ เรียกว่า เมืองพัทยา โดยแยกออกจากการปกครองของอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

ประวัติและความเป็นมา
ชื่อเสียงของเมือง ชลบุรี ในฐานะเมือง ท่องเที่ยว ชายทะเล ทำให้หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า ชลบุรี จะเป็นเมืองหนึ่ง ที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่ก่อนสมัย สุโขทัย และเคยมีชุมชน ของคนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อยู่ด้วย น่าเสียดาย ที่หลักฐาน ทางโบราณสถาน และ โบราณวัตถุ ในหลายๆ แห่ง สูญหายไป และคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน น้อยมาก บริเวณที่ลุ่มริมฝั่งลำน้ำพานทอง ซึ่งไหลจากที่สูง ในเขต อ.พนัสนิคม ไปออก แม่น้ำบางปะกง เคยมีคนในยุคหินใหม่ อาศัยอยู่ โดยพบ หลักฐานสำคัญ ที่บริเวณโคกพนมดี ต.ท่าข้าม อ.พนัสนิคม คนกลุ่มนี้ ใช้ขวานหินขัด เครื่องประดับ พวก กำไลลูกปัด เครื่องปั้นดินเผา แบบเชือกทาบ และกินอาหาร จากทะเล เช่น หอยแครง ปู ปลา เป็นอาหารหลัก แสดงว่า สมัยนั้น พื้นที่นี้อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลกว่าปัจจุบันมาก ที่ ต.หน้าพระธาตุ อ.พนัสนิคม เมื่อประมาณ 1,400-700 ปีก่อน มีเมืองพระรถ ตั้งอยู่ บริเวณนี้มีลำน้ำสายต่างๆ จากที่สูงมารวมกันเป็นลำน้ำพานทอง สามารถเดินทางตามลำน้ำไปติดต่อกับชุมชนอื่นๆ ในสมัยนั้น เช่น เมืองศรีมโหสถ ใน จ.ปราจีนบุรี และ ไปถึงอรัญประเทศได้ เมืองพระรถ จึงเป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคมในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางเดินบก ไป ระยอง และ จันทบุรี ผ่านเมืองพญาเร่ ซึ่งเป็นเมืองโบราณ อีกเมืองหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัด ชลบุรี ด้วย เมืองพระรถ อยู่ในสมัยทวารวดี ถึงสมัย ลพบุรี ถ้ามาจากเมืองพระรถ ไปตามลำน้ำพานทอง จนออกทะเล ที่ปากแม่น้ำบางปะกง บริเวณนี้ มีชุมชนที่ต่อมา พัฒนาเป็นเมืองขึ้น เมื่อ 600 ปีก่อน ชื่อเมืองศรีพโล ในสมัยสุโขทัย เมืองศรีพโล เป็นเมืองท่าชายทะเล เรือสำเภาจากจีน เวียดนาม และ กัมพูชา เดินทางมาจอดพักสินค้า ก่อนเดินทางต่อไปยังปากแม่น้ำเจ้าพระยา และ จอดพักก่อนกลับ หรือ ข้ามอ่าวไทย ไปทางใต้ ปัจจุบัน กำแพงเมือง ศรีพโล ถูกทำลายไปหมด เนื่องจากการสร้าง ถ.สุขุมวิท เมืองศรีพโล เป็นเมืองท่า มาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ก็หมดความสำคัญลง อาจเพราะอ่าวเมืองศรีพโล ที่เคยเป็นฝั่งทะเลลึกเกิดตื้นเขินขึ้น เนื่องจากตะกอนแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มาทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ชุมชนจึงเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้ ที่ ต.บางปลาสร้อย ซึ่งมีสภาพชายทะเล และทำเล ที่จอดเรือดีกว่า บางปลาสร้อย นี้ก็คือ ที่ตั้งของเมืองชลบุรี ในปัจจุบันนั่นเอง ในแผนที่ ไตรภูมิ สมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำบลสำคัญของ ชลบุรี เรียงจากเหนือลงใต้ คือ บางทราย บางปลาสร้อย บางพระเรือ (ปัจจุบันคือ บางพระ) และบางละมุง ส่วนในทำเนียบศักดินาหัวเมือง มีชื่อเมือง ชลบุรี ว่าเป็นเมืองชั้นจัตวา ที่วัดใหญ่อินทาราม ซึ่งอยู่ในตัวเมือง ชลบุรี มีภาพเขียนสมัย อยุธยา ตอนปลาย แสดงถึงชีวิต ความเป็นอยู่ของชาว อยุธยา ชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่ง และ จีน ภาพปราสาทราชวัง ฝีมือเขียนภาพงดงามมาก และ เป็นบันทึกหลักฐานอย่างดี ของเมืองท่าแห่งนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระอินทอาษา ชาวนครเวียงจันทน์ พาชาวลาว มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ไปอยู่ในที่ระหว่างเมืองชลบุรี กับ ฉะเชิงเทรา ต่อมา จึงตั้งขึ้น เป็นเมืองพนัสนิคม ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมืองพนัสนิคม และ เมืองบางละมุง ถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นต่อ เมืองชลบุรี และเป็นอำเภอหนึ่งของ ชลบุรี มานับแต่นั้น ชลบุรี มีความสำคัญในฐานะเมืองท่า นับเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี จากสมัยสุโขทัย มาถึงสมัย รัตนโกสินทร์ และกระทั่งปัจจุบัน ก่อนที่จะมามีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะเมืองตากอากาศชายทะเล เช่นทุกวันนี้

เพื่อนคือ...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ยิ่งกว่าแฟนก้อว่าได้ ไม่ตามใจมัน ก็ไม่ด่า แต่ถ้ามันไม่ตามใจ เราก็ด่าได้ โดยที่มันและเราไม่โกรธกัน
เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้ โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป
เพื่อนคือที่พึ่ง ยามเป็นทุกข์ เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน จนจะแต่งงานก็ยังต้องปรึกษามัน เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอก และเพื่อนก็คือ คนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน
"เพื่อน" คือ ทุกอย่าง มีผู้ที่เคยคบกันถามว่าจะให้เลือก หนึ่งเดียว ระหว่างเค้าซึ่งคบกันมา 1 ปี กับเพื่อนซึ่งคบมาประมาณ 15 ปี ว่าคุณจะเลือกใคร ตอบแบบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า "เพื่อน" ซึ่งเค้าก็บอกว่าตอบผิดตอบใหม่ได้นะ
เราก็บอก ว่าตอบถูกแล้ว เพราะเค้าเห็นว่าเรารักเพื่อนมากกว่า แต่ไม่ใช่ ถ้าเราจะต้องเอาคนเข้ามา ในชีวิตอีก 1 คน ซึ่งก็ยังไม่รู้อะไรกันมาก กับเสียคนที่เรารู้จกกันมาเป็น 10 ปี เราว่าทุกคน ก็ต้องมีคำตอบเหมือนกับเรา เพราะทั้งสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม เราไม่สามารถเอาแต่ละคน มาบวกและลบกันเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่า และสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นก็คือ ''เพื่อน''
"some time happy… some time sad… but all time friend "
บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วเล่า ให้มันฟัง มันก็ไม่ว่าอะไร....แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา เราตามตัวมันมามันเคยพูด
ไหมว่า "กูไม่สนมึงเที่ยวแล้วไม่ชวนกู มึงแก้ไขเองแล้วกัน" คำพูดอย่างนี่ จะไม่มีจากปาก เพื่อน จะมีแต่คำว่า " มึงอยู่ตรงไหน มึงเป็นอะไรว่ะ" แล้วก็ลงท้ายว่า "เออตกลงกูจะรีบไป..."